
Vincent Callebaut ไม่ต้องการให้ใครมากำหนดกรอบให้เขา ด้วยว่าเขามักคิดค้นทฤษฏีใหม่ ๆ ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง Archibiotic , Architecture Landscape Distortions , Ecosystem Abstraction ,Digital Hybridization ไม่แค่คิดเปล่า เขานำเสนอมันผ่านสถาปัตยกรรมล้ำหน้าท้าทายเวทีงานประกวดมาแล้วรอบโลก คอนเซ็ปต์ของเขาจึงเป็นที่น่าสนใจในโลกปัจจุบัน ด้วยความที่คอนเซ็ปต์หลักในสถาปัตยกรรมของ Callebaut คือ การผสมผสานวิทยาศาสตร์กับงานสำรวจทางวัฒนธรรม แล้วนำเข้าไปประมวลผลในระบบคอมพิวเตอร์เพื่อให้ออกมาเป็นแลนด์สเคปของสถาปัตยกรรมแบบแผนใหม่ (Architecture Landscape Distortions) หรือนามธรรมของสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม (Ecosystem Abstractions ) ด้วยวิธีผสมรูปดิจิตอล เพื่อสร้างโลกที่มีความยั่งยืนและมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น เพราะในความคิดของเขา คิดว่า สถาปนิกรุ่นยุคนี้ต้องมีชั้นเชิงและยืดหยุ่นได้ คือ วิธีการแทรกแซง เปิดรับการปรับตัวครั้งใหม่ของวิทยาศาสตร์ , ศิลปะ ,วรรณกรรม และเทคโนโลยี สถาปนิกต้องเป็นเหมือนดีเจที่นำสเปซของอาคารมามิกซ์กับความรู้ทุกแขนงให้กลมกลืน
ดังนั้น งานดีไซน์ของ Callebaut จึงเป็นงานทีมีการรวมของสิ่งมีชีวิต และเทคโนโลยี เพื่อจะสร้าง Ecopolis เมืองสีเขียวในอนาคตที่ใช้พลังงานยั่งยืน นิยามของเขา คือ Archibiotic (Arch+Bio+NICT) เป็นต้นแบบของสถาปัตยกรรมที่สร้างพลังงาน สร้างสิ่งที่จำเป็นเพื่อบริโภค เพราะเรากำลังเผชิญหน้ากับโลกที่รุนแรง มนุษย์อยากฟื้นธรรมชาติให้ยั่งยืนทั้งกายภาพและจิตวิญญาณ ความศิวิไลซ์จะสร้าง New Identity ขึ้นมา เพระาจำนวนประชากรเพิ่มขึ้น , เศรษฐกิจ ,สิ่งแวดล้อมเปลี่ยน ต้องหาจุดลงตัว
สิ่งแรกที่ Callebaut เมื่อเริ่มต้นงานออกแบบ คือ ความสัมพันธ์ของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในงานสถาปัตย์เปิดโอกาสให้เราได้ดีไซน์ต้นแบบของอาคารที่ฉลาดและปรับตัวได้เหมือนสถาปัตยกรรมต้องเป็นไบโอเทคโนโลยีที่รักษาสมดุลได้เป็น organic systems เราต้องเข้าใจการทำงานของที่อยู่อาศัยใหม่และประยุกษ์มันให้เข้ากับระเบียบแบบแผนที่มีขั้นตอนตามลำดับขั้นของคณิตศาสตร์ สถาปัตยกรรมกับวิศวกรรมจะต้องควบรวมโมเดลของธรรมชาติเข้ากับงานดีไซน์ สถาปนิกต้องสร้างระบบออร์แกนิกนี้ขึ้นมา
จากทุกโปรเจ็คของ Callebaut ทำให้เห็นว่าการทำงานเป็นทีมของเขาต้องร่วมมือกัน ทุกทีมงานจะประมวลออกเป็นคอนเซ็ปต์ ไม่ว่าจะเป็นนักชีววิทยา ,นักเคมีวิทยา ,วิศวกร ,ศิลปิน เขาสามารถดีลกับความรู้หลากหลายด้าน จึงทำให้งานมีความน่าสนใจ เช่นงาน Anti-Smog มันเป็นงานที่ท้าทายของเขามาก คือการคิดสร้างอาคารที่มีระบบ auto – sufficient ทั้งอาคารเพื่อควบคุมบรรยากาศได้อัตโนมัติ มันเป็นความท้าทายที่จะพัฒนาขีดจำกัดของระบบนิเวศน์ ด้วยการสร้างระบบให้ได้ผลอย่างยั่งยืน ส่วนแนวความคิดที่อธิบาย investigation architecture mixing biology to information and communication technologies ได้ดี คือ Eco-mic เป็นซิมโบลใหม่ที่ต่อต้านความถดถอยของเสรีภาพ มันเป็นการสร้างเมืองในอุดมคติคล้ายกับช่วงยุคก่อนที่ทวิปอเมริกาจะถูกล่าอาณานิคมเหมือนภาพ Utopia ในปี 60 โปรเจ็คต์นี้รวมสเปซเปิดโล่งไว้ในระบบนิเวศน์ของทาวเวอร์ ความท้าทายในการต้านแรงโน้มถ่วงเป็นดังคำประกาศอิสรภาพของสถาปัตยกรรม
Anti-Smog
รูปภาพจาก : http://vincent.callebaut.org/page1-img-ourcq.html
แรงบันดาลของ Callebaut จึงเป็นธรรมชาติ ระบบของสิ่งมีชีวิต เพราะมันจะค่อยๆเติบโตตามกาลเวลาคล้ายกับวิวัฒนาการของธรรมชาติ ,สัตว์ ,พืช เป็นการะบวนการแบบออร์แกนิก รูปฟอร์มจะเริ่มจากซับซ้อนแล้วค่อยๆปรับเป็นโครงสร้าง เหมือนกับที่ Geodesic Domes ได้แรงบันดาลใจจาก Micro – Structurres ของสิ่งมีชีวิตเล็กๆ มาจนถึงงานวิจัยของ D’Arcy Wentworth Thompson นักชีววิทยาและนักคณิศาสตร์ที่ศึกษากระบวนการของธรรมชาติ เพราะมันเป็นแหล่งข้อมูลสำหรับนำมาปรับใช้ในกระบวนการออกแบบได้
งานดีไซน์ที่ล้ำสมัยของเค้า ไม่ถือสิ่งแปลกปลอมอะไร แต่เป็นการออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งไม่เพียงสัมพันธ์กับระบบนิเวศน์วิทยาที่มีอยู่เดิมเท่านั้น แต่ยังช่วยพัฒนาให้ดีกว่าเดิม โดยการเผยให้เห็นถึงลักษณะเด่นทางกายภาพและรูปทรงตามสภาพแวดล้อมนั้นๆ บนพื้นฐานของการสร้างสเปซ การวางผังโครงสร้างของ Callebaut เป็นแบบพารามิเตอร์ เทสโนโลยีชีวภาพ และระบบพลังงานหมุนเวียน ดีไซน์ของ Callebaut สัมพันธ์กับบริบททางธรรมชาติ แต่อาจมีรูปลักษณ์ต่างไปจากสิ่งเดิมๆ

Ecomic
รูปภาพจาก : http://vincent.callebaut.org/page1-img-mexico.html
ดังนั้น แนวคิดของVincent Callebaut จึงเป็นการมองไปข้างหน้า วาดอนาคต และสัมผัสมันให้ได้ ในโลกยุคนี้ปัญหาเรื่องการพัฒนาแบบยั่งยืนไม่ใช่เป็นเพียงปรากฏการณ์ที่นำมาถกกันแค่ผิวเผินและหายไป หากเป็นเรื่องจริงที่สังคมโลกต้องเผชิญ เขาจึงอยากเชิญชวนให้ทุกคนสร้าง Ecopolis เมืองสีเขียวที่ยั่งยืนด้วยกัน มาร่วมสร้างเมืองให้กลมกลืนกับโลกมากขึ้นการขยายเมืองให้ใหญ่โตไม่ได้หมายถึง เมืองที่น่าอยู่เสมอไป มันอยู่ที่ว่าการพัฒนาชุมชนเมืองต้องผสานเข้ากับการพัฒนาการมนุษย์ยุคนี้อย่างลงตัวต่างหาก